วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ท่านศรีมหายันต์ ลูกศิษย์สมเด็จองค์ปฐม

10:57



ท่านศรีมหายันต์ ลูกศิษย์สมเด็จองค์ปฐม


  ข้าพเจ้าท่านศรีมหายันต์ได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์หลายท่าน โดยเฉพาะได้เรียนจากสมเด็จองค์ปฐม  พระพุทธเจ้าองค์แรกจากทางนิมิต ซึ่งสมเด็จองค์ปฐมท่านได้ประทานแสนวิชาครูและพระคาถาต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้าตามบุญวาสนาเดิมที่ได้บำเพ็ญบารมีสะสมมา โดยวิชาที่ท่านได้ประทานให้ได้แก่ วิชาด้านการสักยันต์ทั้งได้ประทานเลขยันต์อักขระต่างๆ ให้ข้าพเจ้าหลายยันต์ เนื่องจากเป็นวาสนาเดิมเป็นของเก่า ท่านจึงได้ประทานชื่อให้ข้าพเจ้าว่า  "ท่านศรีมหายันต์ สันโตโยธิน มหิธิเวช "  ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่ผดุง ค้ำชู บำรุงรักษายันต์ของสมเด็จองค์ปฐมและเชิดชูไว้ไม่ให้เสื่อม และได้ประทานวิชาการตั้งศาล การดูการจัดตั้งชัยภูมิหรือฮวงจุ้ยให้ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง   วิชาด้านการปลุกเสกวัตถุมงคล ปลุกเสกเลขยันต์อักขระทั้งกันทั้งแก้แลปะจุวิทยาคมลงของขลัง อาบน้ำมนต์ลงอาคมล้างจัญไรทำลายเคราะห์กรรมแลโรคภัย อุทิศพิชิตบุญดวงวิญญาณร้าย มลายโทษกลับมิตรสนิทดี ผูกดวงพลิกดวงกันแก้ปมชีวิต มหาอุตม์ พุทธเวทย์อาคมป้องกัยภัย หีบทองคำบันดาลโชคตกเศรษฐี ยกดวงดีรับทรัพย์รับโชค ทองหมื่นชั่ง เงินไหลกองทองไหลมา ท่านศรีมหายันต์ตั้งสำนักสักยันต์อยู่ที่จังหวัดชลบุรี ท่านใดสนใจสักยันต์ (ยันต์ของสมเด็จองค์ปฐม)หรือต้องการบูชาวัตถุมงคล ติดต่อเบอร์โทร 095-06590061








พระคาถาประจำสำนัก ท่านศรีมหายันต์

09:09





ท่านศรีมหายันต์ ลูกศิษย์สมเด็จองค์ปฐม


ข้าพเจ้าได้นิมิตพระคาถาจากสมเด็จองค์ปฐม ท่านได้ประทานพระคาถาประจำตัวให้ เป็นพระคาถารวมฤทธิ์ ไว้ตอนบวงสรวงไหว้ครู ปลุกเสกวัตถุมงคล เรียกลาภ ท่องบ่นเป็นประจำจะให้เกิดทิพย์จักขุญาณ


พระคาถาประจำท่านศรีมหายันต์

อิทธิ ฤทธิ องค์ปฐมพุทธะ นะมามิหัง
สัมมาสัมพุทธัสสะ สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพพจักขุง วิโสธายิ
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม



วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๔

22:04




สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๔
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม-ปกิณกะธรรม
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑.อย่าทิ้งการระลึกนึกถึงอนุสสติ ๑๐ ประการ ให้พิจารณาและใคร่ครวญอยู่เสมอ จักทำให้จิตทรงตัวอยู่ในความดี และมีความมั่นคงในพระนิพพานยิ่งๆ ขึ้นไป (อนุสสติ ๑๐ คือ พุทธา ธัมมา สังฆา สีลา จาคา เทวตา กายคตา มรณา อุปสมา และอานาปา)
๒.การฟังเทศน์ ฟังธรรมโดยใช้อิทธิบาท ๔ หลวงพ่อฤๅษีท่านเทศน์ตอน ๐๔.๐๐ น.ความว่า
(๑) การเจริญสมาธิ อย่าไปสนใจว่าจะได้ฌานอะไร เพราะตัวอยากนำหน้าเป็นกิเลส ผลจะไม่ได้ดี
(๒) ให้ตั้งอยู่ในอารมณ์สันโดษ ทำให้ดีที่สุด ได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น รักษาอารมณ์จิตให้เป็นสุขเป็นสำคัญ อย่าให้ขาดทุน
(๓) การปฏิบัติจริงๆ คือ ทำอารมณ์ปัจจุบันให้ดีเข้าไว้ ให้อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อย่าให้ออกนอกทาง แล้วทุกอย่างจะดีเอง
(๔) การพิจารณาเป็นธรรมด้วยอิทธิบาท ๔ ให้พิจารณาตามแนวนี้ คือ

ฉันทะ ปฏิบัติได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น อย่าให้ขาดทุน(สันโดษ)
วิริยะ ทำความเพียรให้ดีที่สุดในทางสายกลาง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป (ใช้พรหมวิหาร ๔ เป็นหลัก)
จิตตะ เอาจิตจดจ่อเป็นสมาธิอยู่กับพระธรรมนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ระวังอย่าให้เรื่องอื่นเข้าแทรก
วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญตามพระธรรมนั้นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ในปัจจุบันนั้น

๓.อย่าไปสนใจกับจริยาของผู้อื่น ให้พึงเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นสาระสำคัญนั้นไม่มี แล้วหันมาดูใจตนเองให้มาก ด้วยการระมัดระวังใจ อย่าเผลอไปในด้านไม่ดี และอย่าไปให้ความสนใจสิ่งภายนอก ให้ตัดลงตัวธรรมดาให้มาก

๔.ไม่มีใครหลีกเลี่ยงกฎของกรรมไปได้ ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ นี้อยู่ อาทิเช่น ฟันหักเกิดขึ้นกับร่างกายก็เป็นธรรมดา พึงจะต้องยอมรับว่า จักต้องมีการเสียเงินค่าทำฟันปลอมขึ้นมาใหม่ เป็นของธรรมดาเช่นกัน และการต้องเสียเงินก็เป็นความทุกข์ นี้เป็นอริยสัจที่ควรฝึกจิตให้ยอมรับนับถือว่า ขันธ์ ๕ นี้ย่อมพร่องอยู่เป็นนิจ เป็นกฎธรรมดาที่มันย่อมเสื่อมลงไปทุกๆ ขณะ แล้วในที่สุดมันก็ต้องตาย ให้พึงทำใจเหมือนกับยอมรับว่า ฟันซี่นี้มันจักต้องหักเป็นธรรมดา ทรัพย์จำเป็นต้องจ่ายก็ต้องจ่าย อย่าไปมีอารมณ์เสียดาย เพราะถึงวาระจำเป็นที่จะต้องเสียทรัพย์ ก็ต้องเสียทรัพย์เป็นธรรมดา

๕.ทำอะไรก็จงอย่าใจร้อน ให้ค่อยๆ ทำไป พร้อมทั้งพิจารณาดูว่า ควรหรือไม่ควรที่จักทำอย่างนั้น และเมื่อมีความใจเย็นบวกกับการพิจารณาอย่างรอบคอบ งานทั้งหมดก็จักออกเป็นผลดีเสียส่วนใหญ่ ทุกอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงทำ ในเมื่อใจเย็นก็จักเห็นผลของงานที่ออกมาเป็นที่น่าถูกใจ และจงอย่าห่วงงานที่ค้างอยู่ เพราะไม่มีใครสามารถทำงานทางโลกได้เสร็จสมบูรณ์ ทำแล้วก็ต้องเวียนกลับมาทำซ้ำใหม่ จักช้าหรือเร็วเท่านั้น ให้ทำใจเย็นๆ และทำงานไปตามอัธยาศัย ในทางสายกลาง ผ่อนสั้น ผ่อนยาว แล้วทุกอย่างก็จักดีเอง ความลุล่วงของงานก็จักปรากฏ

๖.ร่างกายไม่มีแก่นสารก็จริงอยู่ แต่ในขณะที่จิตนี้ยังอาศัยร่างกายอยู่ เป็นที่พักพิง เป็นที่อาศัย และหาความรู้ให้เท่าทันขันธ์ ๕ จึงจำเป็นที่จักต้องมี เพื่อประโยชน์ในการบำรุงธาตุ มิใช่ทำอะไรไปตามกิเลส โดยไม่รู้เท่าทันธาตุ ก็บังเกิดความเบียดเบียน ทำให้ธาตุบกพร่อง ธาตุชำรุด สร้างทุกขเวทนาให้เกิดกับร่างกายโดยใช่เหตุ และเมื่อร่างกายเกิดทุกขเวทนา ก็ย่อมทำให้จิตผู้มีสภาพรู้ต้องพลอยเวทนาไปด้วย

๗.ให้รักษากำลังใจ ทำทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทน ดังนั้นจึงพึงทำใจปล่อยวางใน ลาภ ยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ด้วย ให้เห็นธรรมดาให้มากที่สุดเท่าที่จักเห็นได้ และพึงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่กับความเสื่อม แล้วดับไปในที่สุด จงจำประโยคนี้เอาไว้ให้ดีๆ จำจนขึ้นใจแล้วนำไปเจริญเป็นวิปัสสนาญาณ อันแปลว่าญาณเป็นเครื่องรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จงรู้จักไตรลักษณ์แล้วปล่อยวางไตรลักษณ์ อย่าไปเสียใจกับไตรลักษณ์ ให้เห็นไตรลักษณ์เป็นเรื่องธรรมดา จงจำไว้ว่าจักทำเพื่อละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง จงอย่าเกาะสิ่งใดๆ ในโลกนี้ หรือโลกหน้า โลกพรหม โลกเทวดา จงอย่าเกาะ ให้เห็นปกติธรรมของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ในความเสื่อม แล้วก็ดับไป
เมื่อฟังคำสอนถึงจุดนี้แล้วก็คิดว่า ร่างกายเสื่อมนี้เป็นธรรมดาที่แก้ไขไม่ได้ แต่จิตที่เสื่อมอยู่นี้ ควรจะแก้ไขอย่างไร

ทรงตรัสว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ให้พิจารณาดูว่าอะไรเป็นต้นเหตุของการเสื่อมของจิต แล้วนำต้นเหตุนั้นมาพิจารณาตามความเป็นจริง ให้จิตยอมรับนับถือกฎของกรรม แล้วจักแก้ไขต้นเหตุที่ทำให้จิตเสื่อมได้

๘.การมีอารมณ์เบื่อหน่าย ก็ควรจักเบื่อหน่ายตามความเป็นจริง มิใช่เบื่อหน่ายด้วยความเศร้าหมองหดหู่ของจิต การเบื่อหน่ายจักต้องวางอารมณ์ให้ถูก ศึกษาอารมณ์ให้ดีด้วย จักได้รู้ว่าอารมณ์ที่แท้นั้นเป็นอย่างไร การนี้จักทำให้การปฏิบัติทางจิตก้าวหน้าขึ้น

รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น



คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๓

21:56




สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๓
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม-ปกิณกะธรรม
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑.ให้เห็นธรรมดาของกฎของกรรม ไม่มีใครพ้นกฎของกรรมไปได้ ฟังแล้วหรือประสบกับเหตุการณ์ทั้งหลายแล้ว จงรักษาอารมณ์ของจิตเข้าไว้ อย่าให้เศร้าหมองหรือสลดหดหู่ เมื่อใดเกิดอารมณ์เช่นนี้ ให้รู้เอาไว้ว่าผิดพลาดไปเสียแล้ว จักต้องเร่งปรับปรุงแก้ไข ทำใจให้เป็นธรรมดาดีกว่ากังวลอย่างพระเจ็บ แม้จักห่วงกังวลอย่างไรก็ยังเจ็บอยู่ดี แต่พระองค์ไหนถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว กฎของกรรมมันเข้าก็จริงอยู่ แต่อาศัยคุณพระพุทธ-พระธรรม-พระอริยสงฆ์ จักช่วยให้เบาบางไป โดยชดใช้เพียงเศษของกรรมเท่านั้น ขอให้อดทนแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จักผ่านไป
๒.อย่าท้อแท้หรือหมดกำลังใจ ในเมื่อร่างกายเกิดอาการไม่ทรงตัวขึ้นมา ทางที่ดีคือ นำอาการไม่ทรงตัวขึ้นมาเป็นวิปัสสนาญาณ ให้รู้ตามความเป็นจริงของร่างกาย (ใช้วิปัสสนาญาณ ๙ เป็นหลัก) อย่าเกาะร่างกาย ให้รู้ว่าชาติก่อน ๆ เพราะเราเกาะร่างกายอย่างนี้แหละ ปกติธรรมของร่างกายคือความไม่เที่ยง ธาตุ ๔ แปรปรวนอยู่เสมอ ไม่ธาตุลมกำเริบ ก็ธาตุไฟกำเริบ หรือบางขณะธาตุน้ำกำเริบ ธาตุดินเสื่อม กระดูกขัด กระดูกชำรุด(ข้อต่างๆ) กระดูกงอกก็ธาตุดินกำเริบ ดังนั้น ทุกอย่างหาความทรงตัวไม่ได้เป็นปกติ แต่จิตใจของเราในอดีตชาติผิดปกติ คือไม่ยอมรับความเป็นปกติธรรมของร่างกาย จักฝืนให้มันทรงตัวดีอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ซึ่งจุดนี้แหละ เป็นตัณหาพาให้จุติมามีร่างกายแล้วมีร่างกายอีก ร่างกายนี้ที่สุดมันก็ต้องตายเป็นปกติ จิตใจโง่ไม่อยากให้มันตาย จักให้มันทรงตัว จึงตกเป็นทาสของตัณหา ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย หาที่สิ้นสุดไม่ได้ มาบัดนี้แสวงหาความจริงของร่างกาย ก็จักต้องฝึกฝนจิตใจให้ยอมรับนับถือความปกติธรรมของร่างกายเข้าไว้ ยอมรับมากเท่าไหร่ ยิ่งพ้นเกิด-พ้นตายมากเท่านั้น เพียรพิจารณาจุดนี้เอาไว้ให้ดี

๓.เรื่องนอกตัวไม่สำคัญ อย่าเอามาคุย ดูเรื่องในตัวให้มาก ยกตัวอย่างเช่น เห็นคนอื่นคุยกันขณะฟังธรรม การคุยกันทำให้ไม่มีสมาธิในการฟังและพิจารณาธรรมนั้นๆ เป็นเรื่องจริง เนื่องจากการคุยทำให้จิตจดจ่อไปในเรื่องที่พูดอยู่ มากกว่าจักนำคำสั่งสอนมาพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ แต่เรื่องนี้จงอย่าตำหนิกรรม เนื่องด้วยบุคคลใดยังไม่ชำนาญในอานาปา หรือฌานใดฌานหนึ่งแล้ว บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้พูดมากอยู่ ยกเว้นผู้เข้าถึงฌาน หรือเข้าสู่พระอนาคามีมรรค หรือพระอนาคามีผล บุคคลนั้นจักสำรวมวาจาเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าถึงพระอรหันต์ปล่อยตามปกติธรรม แต่ไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล จักพูดก็ด้วยเหตุด้วยผล หรือด้วยสงเคราะห์ผู้ฟัง ท่านเป็นผู้พูดด้วยสติ-สัมปชัญญะสมบูรณ์ มิใช่พูดโดยไม่คำนึงว่าใครจักเสียหายด้วยคำพูดของตน หรือพูดโดยคิดว่าเป็นความจริงแต่เจือไปด้วยกิเลส อาทิประจานคนทำไม่ดีนั้นไม่มีในพระอรหันต์ มีแต่พูดโดยธรรม เป็นประโยชน์ และเห็นโทษในคำพูดอย่างแท้จริง พระอรหันต์ไม่ตำหนิใคร เนื่องด้วยเคารพในกฎของกรรม แต่ตำหนิเพื่อก่อ หรือตำหนิเพื่อกันไม่ให้คนอื่นเลวไปยิ่งกว่านั้นมี ศึกษาปฏิปทาในเรื่องวาจาเอาไว้ให้ดี เนื่องจากยังบกพร่องกันอยู่มาก วาจานี้สำคัญ ปลูกมิตรก็ได้ สร้างศัตรูก็ได้ คนพังเพราะคำพูดมีมาก

๔.การปฏิบัติธรรมให้สังเกตอารมณ์ของจิตใจเป็นสำคัญ อย่าให้เสียท่าต่อกิเลส พึงใส่ใจแก้ไขอารมณ์ของจิตใจเอาไว้เสมอ กรรมบางอย่างฝืนได้ กรรมบางอย่างฝืนไม่ได้ มโนกรรมบางขณะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อระงับได้ ก็พึงดูอาการของการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่และดับไป แล้วก็พึงเห็นกองสังขารมันปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น ความเป็นสาระในสังขารปรุงแต่งนั้นไม่มี จงอย่ายึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา พึงละซึ่งอุปาทานขันธ์อย่างจริงจัง แต่ทำไปอย่างสบายๆ อย่าเครียด

๕.บุคคลใดเจริญพระกรรมฐาน โดยไม่จับเอาให้ตรงกับจริตของตนเองก็ดี หรือจับเอาทุกกองเพียงฉาบฉวยก็ดี มักจักหาความบรรลุมรรคผลได้ยาก ให้สังเกตว่า บุคคลผู้รู้พระกรรมฐานหลายกองโดยสัญญา มักจักมีความทะเยอทะยานอวดอ้างคุณวิเศษของตน เป็นที่ให้ผู้อื่นสรรเสริญ-ยกย่อง-เยินยอ จงประมาณตนเอาไว้ให้ดี อย่าได้เป็นเช่นนั้น มิใช่ของดีเลย ให้ดูท่านพระเรวัตเป็นหลัก หรือพระอรหันต์ต่างๆ ในพระสูตร พระอริยเจ้าจักมีแต่ความถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน อยู่อย่างเป็นสุข ไม่เดือดร้อนด้วยประการใดๆ ทั้งปวง เนื่องจากกิเลสในจิตของท่านทุเลาเบาบางลง หรือหายไป ไม่มีอำนาจมาทำให้จิตใจของท่านต้องเดือดร้อนอีก

๖.การบริโภคอาหารและยา พึงพิจารณาผลที่เกิดคุณและเกิดโทษแก่ร่างกาย เป็นการยังอัตภาพให้เป็นไป มิใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย หรือเพื่อความอ้วนพีผ่องใส คนส่วนใหญ่กินอาหารด้วยความติดรส กินยาเพื่อหวังจักให้ร่างกายไม่ตาย แต่ตามความเป็นจริง อาหารชนิดใด ยาชนิดใดก็ตาม ไม่สามารถที่จักยับยั้งความแก่-ความเจ็บ-ความตายของร่างกายไปได้ เพียงแต่ระงับทุกขเวทนา บรรเทาการเสียดแทงของร่างกายไปได้ชั่วคราวเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ไม่ชอบกินยา ซึ่งเป็นปกติธรรมของคนทั่วไป แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจในธรรมปฏิบัติ จักรู้ซึ้งเข้าไปถึงคำว่าปัจจัย ๔ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ของร่างกาย คำว่ายารักษาโรคจึงต้องอยู่คู่กับร่างกายที่เป็นรังของโรค เมื่อร่างกายมีโรคจึงจำเป็นต้องกินยารักษาโรค เป็นการระงับทุกขเวทนา เป็นการยังอัตภาพให้เป็นไปเช่นเดียวกันกับอาหาร บุคคลผู้ฝืนไม่กินยา ก็คือผู้ไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าร่างกายนี้เป็นโรคนั่นเอง ต่างกับผู้ที่รักษาโรคให้กับร่างกาย จักกินยาโดยไม่ต้องฝืนใจ ยิ่งรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว ก็จักทำการเยียวยารักษา โดยไม่ให้เกิดเวทนาเข้ามารบกวนจิตผู้อาศัยร่างกายนี้อยู่ โดยจิตผู้รู้จักทำตามหน้าที่ของผู้อยู่ อันต้องซ่อมแซมบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมไปทุกๆ ขณะกินยาก็คือซ่อมแซมบ้าน โดยที่จิตผู้รู้จักไม่ทุกข์-ไม่ร้อนไปด้วย บ้านนี้อยู่ได้ก็อยู่ไป แต่ก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งบ้านนี้พังสลายอย่างแน่นอน ถึงวาระนั้นจิตผู้รู้ก็จักจากบ้านนี้ไปอย่างเป็นสุข มีบ้านอยู่ก็เป็นสุข บ้านพังไป จากบ้านก็สุข พิจารณาปัจจัย ๔ เอาไว้ จักได้มีความสุขทั้งปัจจุบันและสัมปรายภพ

๗.เจ้ารู้สึกลำบากใจในการกำหนดกำลังใจให้เต็ม ในการรู้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ตลอดเวลาหรือ (ก็รับว่าใช่) จักต้องแยกแยะว่า อันไหนเป็นกิเลส อันไหนเป็นสิ่งจำเป็นที่จักต้องทำ มิใช่เหมาเอาไปเสียหมดว่าเป็นกิเลสบังคับ อย่างนั้นก็ไม่ถูก อย่างกรณีมีร่างกาย ไม่หุงหาให้มันกินก็ไม่ได้ แต่ก็ทำไปตามหน้าที่ มิใช่เอากิเลสไปปรุงว่าจักต้องกินแต่ของดีๆ ของแพงๆ กินแล้วดี ร่างกายอ้วนพี-ผ่องใส กินเพื่อรสอร่อย การปฏิบัติจักต้องแยกแยะออกมาให้ถูกทางด้วย

๘.การฝึกฝนกำลังใจก็คือ หมั่นตรวจบารมี ๑๐ ให้ครบ มิใช่ท่องเพื่อจำบารมีได้ การทำบารมี ๑๐ ให้ครบอยู่ที่กำลังใจ พยายามฝึกฝนทรงตัวอยู่ให้ได้ ค่อยๆ ทำไปให้จิตมันชิน อะไรกระทบก็ให้นึกถึงบารมี ๑๐ เข้าไว้ เพียรอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย ทำให้มันครบทั้ง ๑๐ ประการในคราวเดียวกัน แล้วเมื่อนั้นแหละคำว่าเต็มกำลังในการปฏิบัติธรรมก็จักมีได้ตลอดเวลา และให้จำไว้ว่า ไม่มีงานใดที่จักทำได้โดยราบรื่น งานทุกอย่างย่อมวัดกำลังใจ ไม่เฉพาะงานทางโลกเท่านั้น งานทางธรรมก็เหมือนกัน ไม่มีใครหนีอุปสรรคพ้น เพียงแต่ว่าถ้าหากกำลังใจดี ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคให้พ้นไปได้ อนึ่งการทำงาน พึงพิจารณาในแง่ลบบ้าง อย่าคิดแต่ด้านบวกอย่างเดียว เช่นเดียวกับการพิจารณาพระกรรมฐาน พึงมองโทษและมองคุณให้ทั่วถ้วน แล้วการดำเนินงานก็จักมีความผิดพลาดได้น้อย

รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น



คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๒

21:52



สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๒
คำสอนสมเด็จองค์ปฐม-ปกิณกะธรรม
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑.ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ อยู่ได้เพราะธาตุ ๔ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ทั้งภายนอก-ภายใน และเป็นภาระที่หนักหนา (ภาราหะเวปัญจักขันธา) อันทำให้จิตต้องดิ้นรนเสาะหาปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงห่อหุ้มร่างกายนี้ บุคคลใดเห็นทุกข์ของการมีภาระอันเนื่องจากร่างกายนี้ บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงอริยสัจข้อต้น และจากการพิจารณาจนเห็นสาเหตุของจิตดิ้นรนด้วยตกอยู่ในห้วงของ กามตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา ก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงอริยสัจข้อสมุทัยและเมื่อได้ปฏิบัติในมรรคปฏิปทาอันมีองค์แปด หรือศีล-สมาธิ-ปัญญา จนจิตเข้าถึงนิโรธ ก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงอริยสัจ ๔ อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นบุคคลใดทิ้งอริยสัจ ๔ บุคคลนั้นไม่สามารถที่จักเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้เลย
๒.การเจ็บป่วยไม่สบายเป็นกฎของธรรมดา เพราะไม่มีใครหนีการเจ็บไข้ไปได้ ให้พยายามแยกกาย แยกเวทนา แยกจิต(เจตสิกหรืออารมณ์ของจิต) แยกธรรมหรือกรรม ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา เราคือผู้อาศัยในสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็ให้สักแต่ว่าเป็นเพียงผู้รู้ เป็นเพียงผู้อาศัย อย่าไปยึดมาเป็นตัวตนของใคร เพราะสิ่งเหล่านี้มีเกิดขึ้นมาได้ เพราะการมีร่างกายอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีร่างกาย ความร้อน-หิว-กระหาย-เจ็บป่วย-ไม่สบาย-การถูกกระทบกระทั่งใจก็ไม่มีแล้ว อะไรเป็นเหตุของการมีร่างกาย ต้นเหตุคือตัณหา ๓ กามตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา ในเมื่อความเป็นจริงของร่างกายเป็นเช่นนี้ เราไปฝืน ไม่อยากให้มันเป็นไป ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะความโง่ที่ไม่รู้เท่าทันสภาวะธรรม หากขยันพิจารณาธรรมจุดนี้ให้ดีๆ อย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งข้างหน้าก็จักตัดอารมณ์ของการเป็นทาสของตัณหาได้

๓.จิตที่ไปติดข้องอยู่กับกรรม จึงต้องไปเสวยกรรมดีและกรรมชั่ว สภาวะกรรมหรือธรรม เกิดแล้วก็ดับไป จิตที่ยังเกาะกรรมดี คือ บุญ ก็ไปสู่สุคติ คือสวรรค์-พรหม เป็นต้น จิตที่เกาะกรรมชั่ว คือ บาปอกุศล ก็ไปสู่ทุคติ คืออบายภูมิ ๔ จึงเวียนว่ายตายเกิดไปตามกฎของกรรมที่ตนกระทำไปนั้นๆ สำหรับพระอรหันต์ ชื่อว่าหมดกรรม เพราะท่านเห็นทั้งสภาวะโลก และ สภาวะธรรม ล้วนไม่เที่ยง เกิด-ดับๆ อยู่อย่างนั้น กรรมที่เป็นอกุศลท่านไม่ทำอีกต่อไป หมดกรรมเพราะไม่มีการจุติเกิดขึ้นกับท่านอีก ทุกอย่างท่านทำไปตามหน้าที่ สงเคราะห์คน-สัตว์ ชี้หนทางพ้นทุกข์ เผยแพร่ธรรมไปตามหน้าที่ แต่ท่านหาได้ติดอยู่ในบุญเหล่านี้ไม่ บุญหรือบาปก็ไม่ข้องอยู่ กรรมก็ไม่ข้องอยู่ ยังมีร่างกายอยู่กฎของกรรมเก่าๆ ตามมาสนองก็เรื่องของมัน บุญหรือบาปไม่มีสิทธิ์ที่จักนำท่านไปเกิดอีก

๔.อนึ่ง คำว่า จิตไม่ใช่เรา จุดนี้คือนาม หรือเจตสิก อันมี เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ (ทรงอธิบายถึงกาย(รูป)-เวทนา-จิต-ธรรม ซึ่งไม่เที่ยงเกิดดับๆ ตลอดเวลา คำว่าจิต คือเจตสิกหรืออารมณ์ของจิต มิใช่ตัวจิต หรือนาม ๔ ตัวที่อาศัยรูปอยู่ ซึ่งจริงๆ ก็คือขันธ์ ๕ หรือร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยรูปหนึ่งกับนามอีก ๔ คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร และวิญญาณ) ธรรมอีกจุดหนึ่งที่เข้าใจยาก คือ อทิสสมานกายนี้ไม่ใช่เรา ธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติถึงแล้วจึงจะรู้ได้เอง หรือถึงแล้วรู้เอง ยังไม่ถึงก็ยังรู้ไม่ได้จริง และรู้ได้เฉพาะตนของใครของมัน ตามระดับของจิตในจิต และธรรมในธรรม ผมขออนุญาตอธิบายว่า ให้ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก เพราะเที่ยงแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงอีก ที่ทรงตรัสไว้ว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ควรยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา
เรื่องกายของจิต หรือรูปในนามนี้ก็เช่นกัน ทรงตรัสเป็นสมมุติธรรมว่า อทิสสมานกาย กายของจิต หรืออทิสสมานกายนี้มันก็ไม่เที่ยง ตราบใดที่ยังตัดกิเลสไม่หมดเป็นสมุจเฉทปหาน คือสังโยชน์ ๑๐ ประการยังไม่หมด หรือความโลภ-โกรธ-หลงยังไม่หมด หรือตัณหา ๓ ยังไม่หมด อทิสสมานกายก็ยังไม่เที่ยง ยังเปลี่ยนแปลงไปตามกรรมที่จิตทำไว้ เช่น อทิสสมานกายเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออบายภูมิ ๔ ในฝ่ายกรรมชั่วที่เป็นอกุศล ในฝ่ายกรรมดีที่เป็นกุศล อทิสสมานกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามกรรมดี เป็นมนุษย์-เป็นเทวดา-เป็นนางฟ้า-เป็นพรหมตามกรรมดี ก็ล้วนยังไม่เที่ยง ไม่ทรงตัว ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ จนกว่าจิตดวงนั้นจะอยู่เหนือกรรม ทั้งดี ทั้งชั่วอย่างถาวร มิใช่ชั่วคราว แค่หลุดพ้นได้ชั่วคราวเป็นปทังควิมุติ เช่น ระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ชั่วคราว จิตเป็นฌาน เป็นสมาธิ แต่ยังฆ่ายังตัดกิเลสไม่ได้จริงๆ ขอสรุปว่า พระอรหันต์เท่านั้นที่จิตท่านพ้นดี-พ้นชั่วอย่างถาวร จิตท่านก็มีสิทธิ์เข้าสู่แดนพระนิพพานได้อย่างถาวรเช่นกัน อทิสสมานกายของท่านจึงจะเที่ยง ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีก เป็นพระวิสุทธิเทพ เทพที่มีอทิสสมานกายบริสุทธิ์คงทน-ถาวร-มั่นคง เที่ยงตลอดกาล ภูมิจิต-ภูมิธรรมของผม มีแค่ระดับสัญญาและปัญญา ยังมิใช่ตัวปัญญาแท้ๆ ยังมีสัญญาปนอยู่ เพราะยังตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการไม่ได้หมด ก็อธิบายได้แค่นี้

๕.สถานที่วิเวกก็มีความสำคัญในการปฏิบัติธรรม จิตที่มีสมาธิคือจิตวิเวกที่ต้องอาศัยสถานที่วิเวกด้วย จึงจักมีความตั้งมั่นอยู่ในใจ ฟังอะไรก็รู้เรื่อง ไม่เสียสมาธิไปกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ แต่ก็พึงเห็นเป็นของธรรมดา เลี่ยงได้ก็พึงเลี่ยง แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็จำเป็นที่จักต้องชน ชนในที่นี้ มิได้หมายความถึงการไปสู้รบตบมือ หรือไปพอใจหรือไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่สับสนวุ่นวายนั้น แต่หมายถึง รักษาอารมณ์ของใจให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา จิตสงบ จิตเป็นสุข ไม่ดิ้นรนเดือดร้อนไปด้วยกรณีทั้งปวง
อนึ่งให้รู้ความสำคัญในความวิเวกนั้น มีความสำคัญในการปฏิบัติมากขนาดไหน พึงดูตถาคตเจ้าก่อนที่จักบรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระปัญจวัคคีย์ได้หลีกห่างออกไป ทรงอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว พราหมณ์ถวายหญ้าคาเป็นที่รองนั่ง หลังจากรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาแล้ว สถานที่นั้นก็วิเวก มิได้ประกอบด้วยคนหมู่ใหญ่ เมื่อกำหนดกายตั้งตรง กายก็วิเวก ปราศจากกิจอื่นๆ ที่ต้องทำโน่นทำนี่อีก แล้วดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก จุดนี้จิตก็วิเวกอีก จึงต้องมีความสำคัญในการบรรลุโมกขธรรมที่ตรัสนี้เพื่อให้พวกเจ้าได้พิจารณาและปฏิบัติตามแบบอย่างจึงจักได้ผล หากยังชมชอบคลุกเคล้าอยู่ด้วยคนหมู่มาก ด้วยเพลิดเพลินไปด้วยคำสรรเสริญหรือนินทา หรือการสนทนาธรรม ด้วยอารมณ์ปรุงแต่ง จุดนั้นกายปราศจากการวิเวก วจีกรรมก็มาก เพราะมโนกรรมเป็นผู้ปรุงแต่งคำพูดออกมา ความสงบของใจก็ไม่มี การปฏิบัติก็บรรลุได้ยาก ตรัสเท่านี้ก็ให้พิจารณาดูตัวเอง ดูกาย ดูวาจาของตนเอง อย่าลืมมโนเป็นใหญ่ กายกับวาจาย่อมมีใจเป็นผู้บงการ ดีหรือเลวก็สำเร็จที่ใจนั่นแหละ

๖.ให้เห็นธรรมดาของคนอันแปลว่าวุ่นวาย และเป็นธรรมดาอยู่ดีที่คนเมื่อได้ยินที่ไหนว่ามีของดี มีพระดีก็จักแห่ไปที่นั่น แล้วคนมีมารยาทก็มีมาก คนไม่มีมารยาทก็มีมาก การรู้กาลเทศะก็มิใช่ว่าจักมีได้ง่ายในคน เรื่องเหล่านี้จักต้องใช้การพิจารณา แล้วหมั่นปล่อยวาง อย่าไปคิดหรือกล่าวตำหนิเอาไว้ในใจ จักไปเอาอะไรกับคน เสียผลของการปฏิบัติธรรมเปล่าๆ

๗.ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้ พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วยธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งสังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์
คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด

๘.อารมณ์เบื่อจัดเป็นปฏิฆะ เพราะจิตไม่ยอมรับกฎของธรรมดา (จิตฝืนโลก-ฝืนธรรม) ให้ค้นคว้าหาสาเหตุของอารมณ์เบื่อ (ด้วยอริยสัจ หรือด้วยสังฆคุณ) แล้วจักมีกำลังใจพิจารณาไปจนถึงที่สุดของสาเหตุนั้น ถ้าจิตยอมรับจักวางอารมณ์เบื่อหน่ายนั้นลงไป จนถึงยอมรับกฎของธรรมดา จิตสงบไม่ดิ้นรน มีความสุขมาก ค่อยๆ ทำไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ แล้วจักได้ผลตามนั้น

๙.อย่ากังวลใจกับการเดินทาง เมื่อย่างเท้าออกจากวัด-จากบ้าน-จากที่อยู่อาศัย ให้ตัดอารมณ์กังวลทิ้งไปทันทีทันใด ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง การเดินทางให้รักษาอารมณ์จิตให้ดีๆ กำหนดพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ หรือพระไตรลักษณ์เป็นที่พึ่ง รู้พระนิพพานเข้าไว้เป็นอารมณ์ รู้โทษของการมีกังวล แม้แต่เล็กน้อยก็ไม่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ เพราะขาดความผ่องใสของจิต ผู้ปฏิบัติธรรมที่ดีจักต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์อยู่เสมอ หมั่นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดใจกังวลโดยเร็วที่สุด ด้วยอริยสัจหรือธรรมคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามรณานุสสติขึ้นมาตั้งมั่น คอยเตือนตนอยู่เสมอว่า ความเศร้าหมองของจิต (จิตไม่ผ่องใส) ทำให้ไปพระนิพพานไม่ได้

๑๐.คนจักพ้นทุกข์ได้ก็ต้องเห็นทุกข์ก่อน คนเห็นกิเลสที่ยังเกาะกินใจตนอยู่ ก็คือคนเห็นทุกข์ เห็นปัญหา เห็นอุปสรรค ก็คือคนเห็นอริยสัจ หรือเห็นพระธรรม เห็นธรรมคุณ ผู้มีปัญญาทุกคนจักเอาทุกข์ เอาปัญหา เอาอุปสรรคทุกอย่างมาเป็นกรรมฐานได้หมด หาประโยชน์ได้หมด ในทุกสภาวะการณ์ โดยนำมาพิจารณาเข้าหาอริยสัจหมด เป็นธรรมคุณ ก็จักตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ในที่สุด

๑๑.รักษาอารมณ์ของจิตให้ดีๆ ประคองใจไว้เป็นสำคัญ อย่าไปฝืนกรรมของใคร แล้วอย่าไปแก้ไขคนอื่น ให้แก้ไขใจตนเองนี้แหละ จึงจักถูกต้องตามหลักการของพระพุทธศาสนา จุดนี้มีความจำเป็นต้องพูดซ้ำ เพราะพวกเจ้าส่วนใหญ่มักจักไปแก้ไขบุคคลอื่น ผิดหลักธรรมอย่างยิ่ง ไปทำอย่างนั้นก็เท่ากับไปเพิ่มกิเลสให้กับจิตของตนเอง จักต้องพยายามมีสติให้ตั้งมั่น ถือธุระไม่ใช่เข้าไว้ให้มาก ๆ ไม่ใช่หน้าที่ให้ปล่อยวางทันที ยกเว้นมีการเกี่ยวข้องโดยกรรมต่อกัน ก็พึงกระทำกันเพียงแต่หน้าที่เท่านั้น สำหรับทางจิตใจ พยายามไม่เกี่ยวข้องกับใคร ปล่อยวางเพื่อความผ่องใสของจิตให้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ กฎของกรรมใดๆ เข้ามาถึง ก็ถือว่าชดใช้กรรมเก่าให้เขาไป อย่าไปต่อกรรมในเมื่อปรารถนาจักไปพระนิพพาน แม้จักทำได้ยาก ก็จักต้องทำให้ได้

๑๒.พวกโทสะจริต ให้พยายามฝึกจิตให้เยือกเย็น แล้วพึงพิจารณาโทษของโทสะจริตให้มาก พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในคำภาวนาให้มาก พร้อมกำหนดอานาปาให้มากด้วย หลังจากรู้ลม-รู้ภาพพระแล้ว ก็จักมีอารมณ์เย็นขึ้น อย่าลืมจิตต้องเย็น สงบก่อน จึงค่อยพิจารณาทุกข์อันเกิดจากโทสะจริตนั้น จิตยิ่งเย็นก็ยิ่งเห็นทุกอย่างได้ชัดขึ้นเท่านั้น และจงอย่าลืมว่า พุทธานุสสติ พุทโธอัปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ คนฉลาดไม่มีใครทิ้งพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระอรหันต์ท่านยังไม่ทิ้ง แล้วพวกเจ้าเป็นใคร ให้คิดเอาเอง

๑๓.ร่างกายไม่ดี ก็ให้เห็นเป็นธรรมดา หรือร่างกายดีอันเนื่องจากธาตุ ๔ มีความทรงตัวแค่ระยะหนึ่ง ก็ให้เห็นเป็นของธรรมดา แล้วจงอย่าคิดว่าร่างกายจักทรงตัวอยู่อย่างนั้นเสมอไป ร่างกายไม่ดีก็ไม่เที่ยง ร่างกายดีก็ไม่เที่ยง มันมีแต่ความแปรปรวนหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน หรือทุกขณะจิต นั่นคือธรรมดาของร่างกาย แล้วในที่สุดร่างกายนี้ก็มีความแก่และมีความตายเป็นธรรมดา หมั่นพิจารณาให้เห็นกฎของธรรมดาให้มาก จิตใจจักได้มีความสุข หรือแม้กระทั่งการถูกด่า-ถูกนินทา หรือถูกสรรเสริญเยินยอ ก็เป็นเรื่องธรรมดา เหล่านี้ หมั่นพิจารณาธรรมดาให้มาก แล้วจักมีการยอมรับ ในกฎของธรรมดาทั้งปวง จิตใจจักสงบและเป็นสุข ให้พยายามรักษาอารมณ์พิจารณาเหล่านี้ให้มาก


รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น



คำสอนสมเด็จองค์ปฐม สุดยอดแห่งธรรมชุดที่ ๑

21:42


สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม-ปกิณกะธรรม
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้
๑.จงอาศัยการกระทบให้เป็นประโยชน์ของการตัดกิเลส เห็นทุกข์มากเท่าไหร่ ยิ่งเบื่อทุกข์มากขึ้นเท่านั้น  จิตจักปล่อยวางทุกข์ลงได้ในที่สุด แต่ต้องอาศัยปัญญาพิจารณาประกอบไปด้วย มิฉะนั้น เห็นทุกข์ก็จักเกาะทุกข์ ก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ ถ้าหากมีปัญญาก็จักปล่อยวาง เนื่องด้วยเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง การที่จักพ้นทุกข์ได้ จักต้องรู้จักพิจารณาใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่เสมอ จึงจักปล่อยวางได้


๒.พิจารณาร่างกาย พิจารณาอารมณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป อย่าเอาความไม่เที่ยงมาเกาะติดอยู่ในจิตให้เป็นทุกข์ พยายามรักษาอารมณ์เกาะพระนิพพานให้มาก ๆ อย่าห่วงใคร อย่ากังวลกับเหตุการณ์ใด ๆ ทั้งปวง ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนา เพื่อพระนิพพานจุดเดียว ปล่อยวางเรื่องภายนอกลงเสียบ้าง แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามีผล การเจริญพระกรรมฐานให้หมั่นฝึกให้ได้ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ให้จิตจับมาเป็นกรรมฐานให้ได้ การเผลอนั้น ย่อมยังมีอยู่เป็นธรรมดา พยายามประคองจิต อย่าให้หวั่นไหวกับเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบมากนัก แล้วจักมีความสุขขึ้นในจิต


๓.ร่างกายไม่ใช่สาระแก่นสารที่สำคัญก็จริงอยู่ แต่บุคคลใดจักพ้นไปจากร่างกายได้ ก็จักต้องพิจารณาให้เห็นความจริงของร่างกาย  จักพูดแต่ปากหรือพูดเอาแต่สัญญานั่นย่อมไม่ได้ เพราะเท่ากับมีแต่ความจำ ไม่ช้าไม่นานก็ลืม ผิดกับคำว่าอธิปัญญา คือ เห็นอยู่ในความเป็นจริงตามปกติ บุคคลใดที่จักพ้นจากร่างกายได้ ตถาคตขอยืนยันว่าจักต้องพิจารณาร่างกายให้เห็นตามความเป็นจริง จนกระทั่งจิตเข้าถึงคำว่า เอกัตคตารมณ์ หมายความว่าเห็นจริงตามนั้นอยู่เป็นปกติ จึงจักพ้นจากร่างกายนี้ไปได้


๔.มองเห็นร่างกายแล้ว ให้ดูอารมณ์ของจิต ที่ยึดเกาะร่างกายในส่วนไหนบ้าง การมีอาการถูกกระทบกระทั่งใจ ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นเหตุ ใครจักเกลียด จักโกรธ จักแกล้ง จักติ จักชม ก็เนื่องด้วยร่างกายเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น ดังนั้นการพิจารณารูปและนาม จักต้องย้อนไปย้อนมา จึงจักเกิดปัญญารู้เท่าทันรูป-นามตามความเป็นจริงได้ จงอย่าละความเพียรในการปฏิบัติ พึงเร่งรัดกำลังใจของตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณารูป-นามอยู่เสมอ นั่นแหละคือหนทางที่จักไปพระนิพพานได้


๕.การป้องกันคุณไสยทำร้ายกายและจิตไม่ให้สงบ จักต้องไม่มีอารมณ์ปฏิฆะหรือโกรธเพราะการภาวนาคาถาต่าง ๆ เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น เจ้าไม่ได้ต่อสู้เพื่อทำร้ายเขา ให้ทำจิตให้สงบ ไม่คิดเป็นศัตรูกับใครเข้าไว้ อย่าโกรธ อย่าอาฆาต ภาวนาเพื่อต่อสู้ไป เพื่อป้องกันเท่านั้นเป็นพอ และจำไว้ อย่าใช้บารมีของตนเองในขณะที่ภาวนาต่อสู้ ให้กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือพระอริยสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ จักทำให้เจ้าปลอดภัยจากอำนาจคุณไสยทั้งปวง และจงอย่าคิดว่าตนเองเก่ง ถ้าคิดว่าตนเองเก่งเมื่อไหร่ ดีเมื่อไหร่ พระทุกองค์ก็จักไม่ช่วยเจ้า


๖.ร่างกายที่เห็นอยู่นี้เป็นสมบัติของโลก ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ โลกนี้ทั้งโลกกอปรไปด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีความสลายตัวไปในที่สุด เจ้าจักยึดถือร่างกายเป็นสรณะที่พึ่งก็ไม่ได้ จักยึดถืออะไรในโลกเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ พิจารณาถึงจุดนี้ ฝึกฝนจิตให้รู้จักกับคำว่าธรรมดาให้มาก และยอมรับคำว่าธรรมดาให้มาก และจงรู้จักคำว่าไม่เบียดเบียนร่างกายตนเองให้มากจนเกินไป และรู้จักเมตตาร่างกายตนเองด้วย เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิตผู้อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ และอย่ากังวลกับสิ่งภายนอกให้มาก จงเป็นผู้มีธุระน้อย หาความพอดีให้กับกายและจิตให้มาก ๆ จึงจักพบกับความสุขอย่างแท้จริง


๗.การอาศัยความกระทบกระทั่งของอารมณ์เป็นเครื่องวัดกำลังใจที่จักตัดกิเลส นั่นแหละเป็นของจริง ได้ก็รู้ ตกก็รู้ ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา อะไรที่เข้ามาในชีวิตก็จักต้องทนได้ เพราะต้องการที่จักไปพระนิพพาน ต้องทนได้กับทุก ๆ สภาวะ ให้ตรวจบารมี ๑๐ เข้าไว้ ขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ต้องทำตัวนั้นให้เต็ม อย่าให้พร่องแม้แต่หนึ่งนาที แล้วการเจริญพระกรรมฐานก็จักคล่องตัวเอง ทำกำลังใจให้สงบ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจักดีขึ้นเองอย่าหวั่นไหวในการกระทบ สิ่งใดรู้ว่าแพ้ก็ให้แพ้ไป ตั้งกำลังใจกันใหม่ แผ่เมตตาให้มาก ๆ การปฏิบัติอย่าเครียด คือเอาจริงเอาจังเกินไป อารมณ์ต้องเบา ๆ สบาย ๆ จงอย่าสนใจกรรมหรือการกระทำของผู้อื่น ให้ดูแต่กรรมของตนเองเป็นที่ตั้ง ดูกาย-วาจา-ใจของตนเอง เพียรให้อยู่ในศีล-สมาธิ-ปัญญา เท่านั้น อารมณ์เผลอย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ได้สติก็ตั้งต้นดึงเข้ามาใหม่


๘.เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ดี ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครดีใครเลว เพราะกฎของกรรมเป็นของตายตัว จึงมิใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาของกฎของกรรม นักปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์ จงเห็นกฎของธรรมดาเหล่านี้ให้มาก และยอมรับนับถือกฎของธรรมดาด้วย จิตจึงจักสงบเย็นลงไม่โทษเขาหรือโทษใคร ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงไว้เสมอ และจงอย่าได้มีความประมาทในชีวิต พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตเข้าสู่พระนิพพานไว้ ด้วยความไม่ประมาท ให้จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาให้มาก แล้วจิตจักเป็นสุข


รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น



พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าพระองค์แรก

21:29

พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ (พระพุทธเจ้าองค์แรก)




สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน


สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนพระองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขีมีด้วยกัน ๕ พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑

พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งโลกธาตุ ทรงค้นพบวิชาว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อความพ้นทุกข์และสำเร็จตามพระประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติรวบรวมพระสูตรพร้อมทั้งทรงฝึกบุคคลเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และฝึกบุคคลเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ จึงนับได้ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นสมเด็จองค์ปฐมบรมครูอย่างแท้จริง ระยะเวลาที่ทรงตั้งพระทัยมั่นค้นคว้าโดยไม่มีแบบอย่างและไม่มีครูผู้ฝึกเป็นเวลาประมาณมิได้แค่พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบ วิริยะธิกะพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำเพ็ญบารมียาวนานมากคือรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขย โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ...

1. ปรารถนาในใจ ๒๘ อสงไขย

2. เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย

3. นิตยะโพธิสัตว์ รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจึงบำเพ็ญบารมีต่ออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะถึงกาลมาตรัสรู้ได้

ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจะต้องทรงใช้เวลานานสักเท่าใดกว่าพระองค์ จะทรงมาตรัสรู้สั่งสอนสรรพสัตว์และสืบทอดพุทธวงศ์ได้ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธวงศ์พระสัทธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และจุดประกายความสว่างในจักรวาลให้โลกได้เริ่มรู้จักการสั่งสมบุญบารมี

เมื่อทรงใช้เวลาอันมิอาจจะประมาณได้จนพระองค์สามารถสรุปแนวทางอันแน่นอนแล้วก็ยังทรงเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่นานกว่า ๔๐ อสงไขย จึงทรงดูกาลที่จะทรงลงมาตรัสรู้บนโลกในพระชาติสุดท้ายขณะนั้นมนุษย์ มีอายุขัยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี หลังจากทรงผนวชได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก จึงถือเป็นการอุบัติแห่งปฐมบรมครูพระผู้รู้แจ้งทุกสรรพ สิ่งของโลกธาตุทุกสรรพวิชาในจักรวาลที่ไม่มีใครเทียบและเสมอเหมือนพระองค์ได้ ทรงโปรดเวไนยสัตว์และประกาศพระสัทธรรมสร้างรากฐานก่อตั้งพระพุทธศาสนา อยู่เป็นเวลาประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

คณาจารย์ ครูบาอาจารย์ผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาด้วยท่านเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งพุทธวงศ์มาจึงมาความรู้ตามวิสัยแห่งพุทธะไปด้วยและท่านที่มีความกล้า หาญอดทนเป็นยิ่งที่นำเรื่องสมเด็จองค์ปฐมมาเผยแผ่ให้ชนทั้งหลายไม่ลืมต้นกำเนิดแห่งพุทธวงศ์ คือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เพื่อประโยชน์เกื้อหนุนแก่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไม่มีประมาณจะยังจิตให้ แก่สรรพสัตว์ได้รักในการบำเพ็ญบารมีในทางที่ไม่ประมาท และเป็นความเจริญในชาติบ้านเมืองอันเป็นจุดนำไปสู่ความเจริญและสันติภาพของโลกด้วย





พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง 

การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำก็ได้ทำสมาธิก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนปรากฏขึ้น คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทานเพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธองค์เสด็จเข้าไปหลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า

" คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "




หลวงปู่ปาน อาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 


อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมากมาในรูปของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ พอพระองค์เดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า


" ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "

พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า

" นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น "

เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูด ตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน



สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้วจึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็นทรวดทรงสวยงามมากหน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์และก็เปลี่ยนมาเป็นปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์จะให้ปั้นแบบไหนจะให้ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์ พระพุทธองค์บอกว่าให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดูเป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการให้ปั้นแบบที่ท่านต้องการ พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่าช่างเขาปั้นแต่เขาไม่เห็นภาพเขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่านเวลาช่างปั้นขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไป ตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ





หลวงพ่อเล่าให้ฟัง...เรื่องอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม




วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม

02:26

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน



สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน


"ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตายนั่น หมายถึงว่า การจุติลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดามาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมดร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามา รถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย


ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย"
(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามากเป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกันต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาปกว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือ พรหมใหม่ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดีเป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็นอันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทางการมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "


(ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพานเวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมดรู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

" ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดีอาตมาไม่หนักใจทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไปจะไม่มีการจุติจะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้นขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม

(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

"ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวชอย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติ ไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์


ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธินี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน

จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระ องค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)





จาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว อุดมคติแห่งความสุขในชีวิตของชาวจีน

05:28



เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว อุดมคติแห่งความสุขในชีวิตของชาวจีน

          ตำนานเรื่องเล่าความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีน มีมาอย่างยาวนาน.... ตำนานเทพเจ้าของชาวจีนมีความแตกต่างจากตำนานเทพเจ้าอื่นๆ ที่จากมนุษย์ปุถุชนขึ้นสู่การเป็นเทพเจ้า  ชาวจีนเชื่อว่าหากตนนับถือเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะช่้วยเหลือตนให้มีโชคลาภและความสุข สำหรับชาวจีนแล้วความสุขสมบูรณ์ในชีวิตที่ยังเวียนว่ายในโลกโลกียะนั้นประกอบด้วยสามประการ คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย ความเจริญก้าวหน้า และความมีสุขภาพดีและมีอายุมั่นขวัญยืน
          เรามักคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ "ฮก ลก ซิ่ว" ในรูปของมนุษย์ในวัยอาวุโส 3 คนชาวจีนจะนับถือ ฮก ลก ซิ่ว เป็นเทพ 3 องค์ ซึ่งเชื่อกันว่าเทพ 3 องค์นี้สามารถประสิทธิ์ประสาทความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ และความยั่งยืน ชาวจีนเรียกเทพทั้ง 3 องค์นี้ว่า ฮกลกซิ่วซาแช


ตำนานเทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว

        ฮก (แปลว่า โชคดี) หมายถึง ความสุขที่ได้จากการสมปรารถนา ทั้งความร่ำรวยโดยโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปเศรษฐีสวมหมวกเส้า มีผ้าคลุมไหล่ (แสดงถึงโภคสมบัติ) และอุ้มเด็ก (แสดงถึงบริวารสมบัติ)  ตามตำนานเทพฮก คือ ท่าน "เจี่ยวช้ง" เป็นพ่อค้า มหาเศรษฐี ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ร่ำรวยจากการค้าขายที่สุจริต และ คนในครอบครัว ลูกหลาน ล้วนแล้วแต่เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด  มีเรื่องเล่าขานกันว่า บ้านพักของท่านเจี่ยวช้งนั้น ห่างจากพระราชวังถึง 20 ลี้ เพียงท่านก้าวพ้นจากเขตที่ดินของท่าน ก็เป็นเขตพระราชวัง ด้วยความที่ท่านมีทรัพย์สมบัติมาก กอปรกับท่านเป็นใจบุญ ให้ความช่วยเหลือกับทุกคนที่ทุกข์ยาก จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน และสร้างคุณความดีต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ในสมัยนั้น

      ลก (ยศถาบรรดาศักดิ์) หมายถึง ความเจริญรุ่งเรื่อง ความมีโชคลาภวาสนาด้วยบุญบารมี มีฐานะมั่นคงและการงานที่ก้าวหน้ามั่นคง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นขุนนางสวมหมวก ถือคทาหยู่อี่ในมือ ใบหูกวางแสดงถึงความมีบุญญาบารมีและวาสนา  ตามตำนานเทพลก คือ  ท่าน "ก๋วยจื่องี้" เป็นข้าราชการระดับอัครเสนาบดี (ข้าราชการระดับสูง) ที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ ยุติธรรม รับใช้ราชการนานหลายแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ และ จงรักภักดีต่อแผ่นดินนั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อ ฮ่องเต้หลายพระองค์ จึงมีราชการโองการ ให้อยู่ในตำแหน่งตลอดทั้ง 4 แผ่นดิน และได้รับมอบ ดาบหยก และ เข็มขัดหยก ให้สามารถทำการใดๆ แทนฮ่องเต้ก่อนแล้ว ค่อยทูลถวายภายหลังได้ ท่าน ก๋วยจื่องี้ เป็นข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่ง นานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

        ซิ่ว (อายุยืน) หมายถึง การมีอายุมั่นขวัญยืน มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปชายชราหนวดยาง มือถือไม้เท้าห้อยผลน้ำเต้า และมือถือลูกท้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ตามตำนานเทพซิ่ว คือ ท่าน "แผ่โจ้ว" เป็นบุคคลที่กลัวความแก่ และความตายมากที่สุด จึงรักษาสุขภาพ ร่างกาย และ จิตใจของตนเองให้มีความสุข แข็งแรง ตลอดเวลา ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวใหญ่ มีภรรยา และ ลูกหลานมากมาย และเป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านแผ่โจ้วนั้นมีอายุยืนกว่า 800 ปี มีภรรยาเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 49 คน และ บุตรหลานเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 154 คน

          ดังนั้น คนจีนจึงนิยม ให้รูปหล่อองค์เทพ ฮก ลก ซิ่ว ให้เป็นของขวัญเหมือนเป็นคำอวยพร จึงกลายเป็นวัตถุมงคลที่ผู้คนทั้งหลายชื่นชอบโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายจีน และ มีความหมายที่ลึกซึ้ง ดังนั้น คนที่มีฐานะดีก็จะหามาไว้ครอบครองไว้ คนที่มีฐานะยากจนก็อยากจะมีไว้ครอบครอง ด้วยหวังว่าจะดลบันดาลความร่ำรวยมาให้กับตนได้เช่นกัน

           ท่านศรีมหายันต์  ได้นำรูปหล่อองค์เทพ ฮก ลก ซิ่ว มาปลุกเสกโดยอาราธณาสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์แรกมาเป็นประธานในการปลุกเสก โดยได้อันเชิญเทพทั้งสามมาสถิตย์และได้ฝั่งวิชาพิชัยสมบัติ ซึ่งเป็นวิชาเก่าแก่โบราณ ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศเรื่องเกี่ยวกับโชคลาภและความร่ำรวย อีกวิชาที่ปลุกเสกที่องค์เทพคือวิชาหลุมเงินบ่อทอง และวิชานะมหาปัด ซึ่งจะช่วยปัดอุปสรรคทางการเงินและโชคลาภ โดยเปิดให้เช่าบูชา องค์เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว ในราคา 3,999 บาท ท่านใดสนใจบูชาติดต่อ เบอร์โทร 095 - 6950061




เคล็ดลับวิธีการบูชาเทพเจ้าฮก ลก ซิ่ว เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งและเงินทอง

         ถ้าหากใครไปบ้านไหน แล้วเห็นตุ๊กตารูปขุนนางจีน 3 ตนที่ยืนยิ้มแย้มอยู่ ก็ขอให้รู้เลยว่าบ้านนั้นบูชาเทพฮก ลก ซิ่ว ซึ่งจะทำให้บ้านนั้นร่ำรวย มีเงินทองเต็มบ้าน อายุยืนมีสุขภาพที่ดีถ้ารู้จัก วิธีการบูชาที่ถูกต้อง  การบูชาเทพเจ้าฮก ลก ซิ่ว  การจัดวางรูปองค์เทพ ลก ฮก ซิ่ว ท่านว่าให้วางไว้ให้สูงอยู่เหนือโต๊ะ และมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อเดินเข้าบ้าน ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ไม่ควรวางร่วมกับพระพุทธรูป ห้ามนำไปวางไว้ในห้องนอน การเชิญมาบูชาควรดูสภาพห้อง โต๊ะ หรือตู้โชว์ ตามความเหมาะสม จะเป็นรูปปั้นด้วยวัสดุใดก็ใช้ได้ทั้งนั้น หรือเป็นรูปภาพก็ได้ ส่วนบริเวณด้านหลังของ องค์ฮก ลก ซิ่ว ควรเป็นฝาผนังไม่ควรเป็นหน้าต่าง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งองค์ ฮก ลก ซิ่ว ไว้ในห้องรับแขก ตรงด้านหลังเก้าอี้ยาวของชุดรับแขก แต่ห้ามตั้งหลังเก้าอี้เดี่ยวของชุดรับแขก และไม่ควรนำมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะไม่เป็นมงคล



         การบูชาถวายของไหว้ควรวางบนโต็ะปูด้วยผ้าขาว แนะนำให้ถวายของไหว้ด้วยผลไม้สดที่เรานิยมรับประทาน เป็นผลไม้ตามฤดูกาล ถ้าเป็นผลไม้ลูกใหญ่อย่าง แตงโม สับปะรด ส้มโอ ควรผ่าเป็นชิ้นใส่แล้วจานถวาย ถ้าเป็นส้ม เงาะ มังคุด แอปเปิ้ล ให้นำมาใส่ถาดแล้วถวาย ถ้าเป็นกล้วยไม่ควรใช้กล้วยดิบ ผลไม้ทุกอย่างที่ถวายควรสุกกำลังกิน และที่สำคัญน้ำเปล่า อย่าให้ขาด ควรมีแก้วน้ำใส่น้ำถวายเป็นประจำ หรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การถวายสามารถถวายเวลาไหนก็ได้ เพราะบนสวรรค์ไม่มีกลางคืน สว่างไสวตลอดเวลา การลาของถวายหลังจากถวายของไหว้แล้วควรทิ้งระยะเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง หรือระยะเวลาธูปหมดดอก เมื่อลาของไหว้แล้วสามารถนำมาทานได้ไม่มีโทษ ถือว่าเป็นของดีเป็นอาหารทิพย์ กินแล้วก็จะอิ่ม

         การถวายของไหว้ไม่จำเป็นต้องจุดธูป แค่ยกมือพนมแล้วกล่าวคำถวายให้ใช้คำพูดเหมือนกับพูดกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่เคารพ เช่น พ่อครับ ลูกขอถวาย ... (ชื่อของที่เรานำมาไหว้)... ขอพ่อรับขอไหว้นี้แล้ว สงเคราะห์ลูกและครอบครัวทุกเรื่องด้วยเทอญ หรือมีเรื่องใดที่ต้องการให้ท่านสงเคราะห์เป็นพิเศษ ก็ให้บอกกล่าวท่าน การสงเคราะห์ของท่านแต่ละเรื่องมีผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของเราและวาระกรรมที่ให้ผล แต่การถวายของไหว้เทพเทวดา ถือว่าได้บุญ เพราะว่าเป็นเทวตานุสติ เป็นสิ่งที่พระพทุธเจ้าทรงสอนในเรื่อง อนุสติ 10