วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าพระองค์แรก


พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ (พระพุทธเจ้าองค์แรก)




สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน


สมเด็จองค์ปฐม ท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขี เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมากมายนับได้แสนพระองค์ ฉะนั้นพระนามของพระองค์จึงซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามสมเด็จพระพุทธสิกขีมีด้วยกัน ๕ พระองค์ จึงได้ขนานนามของสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑

พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งโลกธาตุ ทรงค้นพบวิชาว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อความพ้นทุกข์และสำเร็จตามพระประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติรวบรวมพระสูตรพร้อมทั้งทรงฝึกบุคคลเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และฝึกบุคคลเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ จึงนับได้ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นสมเด็จองค์ปฐมบรมครูอย่างแท้จริง ระยะเวลาที่ทรงตั้งพระทัยมั่นค้นคว้าโดยไม่มีแบบอย่างและไม่มีครูผู้ฝึกเป็นเวลาประมาณมิได้แค่พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบ วิริยะธิกะพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำเพ็ญบารมียาวนานมากคือรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขย โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ...

1. ปรารถนาในใจ ๒๘ อสงไขย

2. เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย

3. นิตยะโพธิสัตว์ รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจึงบำเพ็ญบารมีต่ออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะถึงกาลมาตรัสรู้ได้

ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจะต้องทรงใช้เวลานานสักเท่าใดกว่าพระองค์ จะทรงมาตรัสรู้สั่งสอนสรรพสัตว์และสืบทอดพุทธวงศ์ได้ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธวงศ์พระสัทธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และจุดประกายความสว่างในจักรวาลให้โลกได้เริ่มรู้จักการสั่งสมบุญบารมี

เมื่อทรงใช้เวลาอันมิอาจจะประมาณได้จนพระองค์สามารถสรุปแนวทางอันแน่นอนแล้วก็ยังทรงเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่นานกว่า ๔๐ อสงไขย จึงทรงดูกาลที่จะทรงลงมาตรัสรู้บนโลกในพระชาติสุดท้ายขณะนั้นมนุษย์ มีอายุขัยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี หลังจากทรงผนวชได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก จึงถือเป็นการอุบัติแห่งปฐมบรมครูพระผู้รู้แจ้งทุกสรรพ สิ่งของโลกธาตุทุกสรรพวิชาในจักรวาลที่ไม่มีใครเทียบและเสมอเหมือนพระองค์ได้ ทรงโปรดเวไนยสัตว์และประกาศพระสัทธรรมสร้างรากฐานก่อตั้งพระพุทธศาสนา อยู่เป็นเวลาประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

คณาจารย์ ครูบาอาจารย์ผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาด้วยท่านเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งพุทธวงศ์มาจึงมาความรู้ตามวิสัยแห่งพุทธะไปด้วยและท่านที่มีความกล้า หาญอดทนเป็นยิ่งที่นำเรื่องสมเด็จองค์ปฐมมาเผยแผ่ให้ชนทั้งหลายไม่ลืมต้นกำเนิดแห่งพุทธวงศ์ คือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เพื่อประโยชน์เกื้อหนุนแก่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไม่มีประมาณจะยังจิตให้ แก่สรรพสัตว์ได้รักในการบำเพ็ญบารมีในทางที่ไม่ประมาท และเป็นความเจริญในชาติบ้านเมืองอันเป็นจุดนำไปสู่ความเจริญและสันติภาพของโลกด้วย





พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง 

การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 คืนหนึ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำก็ได้ทำสมาธิก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนปรากฏขึ้น คือเห็นพระพุทธเจ้าในปางพระนิพพานทรงยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็น อุปาทานเพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธองค์เสด็จเข้าไปหลังคาก็จะสูงขึ้นเอง แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ เมื่อนึกเพียงนี้ก็เห็นภาพหลวงปู่ปาน ปรากฏขึ้นข้างหน้า หลวงปู่ปานท่านบอกว่า

" คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา "




หลวงปู่ปาน อาจารย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 


อีกประมาณ 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าอีกองค์รูปร่างท่านใหญ่โตมาก สูงมากมาในรูปของปางพระนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ พอพระองค์เดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทรงตรัสว่า


" ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน "

พระพุทธองค์ ก็เลยนั่งบนหัว ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วทรงตรัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า

" นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนพระกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมก็ดี บอกฉันก่อน ฉันจะให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น "

เป็นอันว่าเมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเทศน์ก็ดี สอนพระกรรมฐานก็ดี สอนธรรมก็ดี พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เคยได้พูด ตามใจคิดเลย เป็นเพราะพระพุทธองค์ ท่านดลใจ ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พูด และแนะนำธรรม ซึ่งบางครั้ง อาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน เพราะพระพุทธองค์ ท่านอาจจี้จุด เฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่บางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็คิดว่า เมื่อพระพุทธองค์ท่านมีบุญคุณอย่างนี้ จึงคิดที่จะหล่อรูปของท่าน



สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้เจริญพระกรรมฐานแล้วจึงได้อาราธนาสมเด็จองค์ปฐม ขอพบพระพุทธองค์ท่าน ก็ปรากฏให้เห็นทรวดทรงสวยงามมากหน้าของท่านอิ่ม เหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ทรงยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน จะพบว่าช่างเขาปั้นแก้มตรงปากจะบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐมก็แสดงรูปร่าง สมัยเป็นมนุษย์และก็เปลี่ยนมาเป็นปางพระนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์จะให้ปั้นแบบไหนจะให้ปั้นปางพระนิพพานหรือมนุษย์ พระพุทธองค์บอกว่าให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงภาพให้ดูเป็นเหมือนกับ พระพุทธรูป และมีเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของท่าน แต่พระองค์ท่านต้องการให้ปั้นแบบที่ท่านต้องการ พระพุทธองค์ได้มาแสดงภาพให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดูถึง 3 วัน ติดๆ กัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้ดูอย่างละเอียด แต่ก็คิดในใจว่าช่างเขาปั้นแต่เขาไม่เห็นภาพเขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงได้ขอบารมีพระองค์ท่านเวลาช่างปั้นขอได้โปรดดลใจ ให้เป็นไป ตามพระพุทธประสงค์ พระองค์ท่านก็ยอมรับ





หลวงพ่อเล่าให้ฟัง...เรื่องอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น