วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม

02:26

คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน



สมเด็จองค์ปฐม ปางนิพพาน


"ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตายนั่น หมายถึงว่า การจุติลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดามาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมดร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามา รถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย


ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้อง จุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย"
(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามากเป็นอันว่า ทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกันต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

" ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาปกว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือ พรหมใหม่ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดีเป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพานเป็นอันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทางการมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน "


(ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพานเวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหนมี ความเข้าใจหมดรู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

" ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดีอาตมาไม่หนักใจทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วง เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลิน ในความเป็นทิพย์ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไปจะไม่มีการจุติจะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีความศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้นขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม

(พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

"ฤาษี.. เทวดา เขาไม่ต้องบวชอย่างเทวดา ชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วน บริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุขเขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติ ไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

(แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

" ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดีเป็นนางฟ้าก็ดีมีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์


ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวายมนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตามในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหนคนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่าน สร้างเอาไว้ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธินี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์ เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดาอยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับ พรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไปตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือ พระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจบรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงว่าเขาปฏิบัติได้นี่คือ อารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดีในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานเราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน

จงดูภาพพระนิพพาน ให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพาน ไม่มีที่สิ้นสุด... (เมื่อพระ องค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ)





จาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535
เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว อุดมคติแห่งความสุขในชีวิตของชาวจีน

05:28



เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว อุดมคติแห่งความสุขในชีวิตของชาวจีน

          ตำนานเรื่องเล่าความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวจีน มีมาอย่างยาวนาน.... ตำนานเทพเจ้าของชาวจีนมีความแตกต่างจากตำนานเทพเจ้าอื่นๆ ที่จากมนุษย์ปุถุชนขึ้นสู่การเป็นเทพเจ้า  ชาวจีนเชื่อว่าหากตนนับถือเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะช่้วยเหลือตนให้มีโชคลาภและความสุข สำหรับชาวจีนแล้วความสุขสมบูรณ์ในชีวิตที่ยังเวียนว่ายในโลกโลกียะนั้นประกอบด้วยสามประการ คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย ความเจริญก้าวหน้า และความมีสุขภาพดีและมีอายุมั่นขวัญยืน
          เรามักคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ "ฮก ลก ซิ่ว" ในรูปของมนุษย์ในวัยอาวุโส 3 คนชาวจีนจะนับถือ ฮก ลก ซิ่ว เป็นเทพ 3 องค์ ซึ่งเชื่อกันว่าเทพ 3 องค์นี้สามารถประสิทธิ์ประสาทความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ และความยั่งยืน ชาวจีนเรียกเทพทั้ง 3 องค์นี้ว่า ฮกลกซิ่วซาแช


ตำนานเทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว

        ฮก (แปลว่า โชคดี) หมายถึง ความสุขที่ได้จากการสมปรารถนา ทั้งความร่ำรวยโดยโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปเศรษฐีสวมหมวกเส้า มีผ้าคลุมไหล่ (แสดงถึงโภคสมบัติ) และอุ้มเด็ก (แสดงถึงบริวารสมบัติ)  ตามตำนานเทพฮก คือ ท่าน "เจี่ยวช้ง" เป็นพ่อค้า มหาเศรษฐี ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ร่ำรวยจากการค้าขายที่สุจริต และ คนในครอบครัว ลูกหลาน ล้วนแล้วแต่เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด  มีเรื่องเล่าขานกันว่า บ้านพักของท่านเจี่ยวช้งนั้น ห่างจากพระราชวังถึง 20 ลี้ เพียงท่านก้าวพ้นจากเขตที่ดินของท่าน ก็เป็นเขตพระราชวัง ด้วยความที่ท่านมีทรัพย์สมบัติมาก กอปรกับท่านเป็นใจบุญ ให้ความช่วยเหลือกับทุกคนที่ทุกข์ยาก จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน และสร้างคุณความดีต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ในสมัยนั้น

      ลก (ยศถาบรรดาศักดิ์) หมายถึง ความเจริญรุ่งเรื่อง ความมีโชคลาภวาสนาด้วยบุญบารมี มีฐานะมั่นคงและการงานที่ก้าวหน้ามั่นคง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นขุนนางสวมหมวก ถือคทาหยู่อี่ในมือ ใบหูกวางแสดงถึงความมีบุญญาบารมีและวาสนา  ตามตำนานเทพลก คือ  ท่าน "ก๋วยจื่องี้" เป็นข้าราชการระดับอัครเสนาบดี (ข้าราชการระดับสูง) ที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์ ยุติธรรม รับใช้ราชการนานหลายแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ และ จงรักภักดีต่อแผ่นดินนั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อ ฮ่องเต้หลายพระองค์ จึงมีราชการโองการ ให้อยู่ในตำแหน่งตลอดทั้ง 4 แผ่นดิน และได้รับมอบ ดาบหยก และ เข็มขัดหยก ให้สามารถทำการใดๆ แทนฮ่องเต้ก่อนแล้ว ค่อยทูลถวายภายหลังได้ ท่าน ก๋วยจื่องี้ เป็นข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่ง นานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

        ซิ่ว (อายุยืน) หมายถึง การมีอายุมั่นขวัญยืน มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง สัญลักษณ์ที่เป็นคน จะเป็นรูปชายชราหนวดยาง มือถือไม้เท้าห้อยผลน้ำเต้า และมือถือลูกท้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ตามตำนานเทพซิ่ว คือ ท่าน "แผ่โจ้ว" เป็นบุคคลที่กลัวความแก่ และความตายมากที่สุด จึงรักษาสุขภาพ ร่างกาย และ จิตใจของตนเองให้มีความสุข แข็งแรง ตลอดเวลา ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวใหญ่ มีภรรยา และ ลูกหลานมากมาย และเป็นที่กล่าวขานกันว่า ท่านแผ่โจ้วนั้นมีอายุยืนกว่า 800 ปี มีภรรยาเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 49 คน และ บุตรหลานเสียชีวิตก่อนท่านทั้งสิ้น 154 คน

          ดังนั้น คนจีนจึงนิยม ให้รูปหล่อองค์เทพ ฮก ลก ซิ่ว ให้เป็นของขวัญเหมือนเป็นคำอวยพร จึงกลายเป็นวัตถุมงคลที่ผู้คนทั้งหลายชื่นชอบโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายจีน และ มีความหมายที่ลึกซึ้ง ดังนั้น คนที่มีฐานะดีก็จะหามาไว้ครอบครองไว้ คนที่มีฐานะยากจนก็อยากจะมีไว้ครอบครอง ด้วยหวังว่าจะดลบันดาลความร่ำรวยมาให้กับตนได้เช่นกัน

           ท่านศรีมหายันต์  ได้นำรูปหล่อองค์เทพ ฮก ลก ซิ่ว มาปลุกเสกโดยอาราธณาสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์แรกมาเป็นประธานในการปลุกเสก โดยได้อันเชิญเทพทั้งสามมาสถิตย์และได้ฝั่งวิชาพิชัยสมบัติ ซึ่งเป็นวิชาเก่าแก่โบราณ ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศเรื่องเกี่ยวกับโชคลาภและความร่ำรวย อีกวิชาที่ปลุกเสกที่องค์เทพคือวิชาหลุมเงินบ่อทอง และวิชานะมหาปัด ซึ่งจะช่วยปัดอุปสรรคทางการเงินและโชคลาภ โดยเปิดให้เช่าบูชา องค์เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว ในราคา 3,999 บาท ท่านใดสนใจบูชาติดต่อ เบอร์โทร 095 - 6950061




เคล็ดลับวิธีการบูชาเทพเจ้าฮก ลก ซิ่ว เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งและเงินทอง

         ถ้าหากใครไปบ้านไหน แล้วเห็นตุ๊กตารูปขุนนางจีน 3 ตนที่ยืนยิ้มแย้มอยู่ ก็ขอให้รู้เลยว่าบ้านนั้นบูชาเทพฮก ลก ซิ่ว ซึ่งจะทำให้บ้านนั้นร่ำรวย มีเงินทองเต็มบ้าน อายุยืนมีสุขภาพที่ดีถ้ารู้จัก วิธีการบูชาที่ถูกต้อง  การบูชาเทพเจ้าฮก ลก ซิ่ว  การจัดวางรูปองค์เทพ ลก ฮก ซิ่ว ท่านว่าให้วางไว้ให้สูงอยู่เหนือโต๊ะ และมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อเดินเข้าบ้าน ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ไม่ควรวางร่วมกับพระพุทธรูป ห้ามนำไปวางไว้ในห้องนอน การเชิญมาบูชาควรดูสภาพห้อง โต๊ะ หรือตู้โชว์ ตามความเหมาะสม จะเป็นรูปปั้นด้วยวัสดุใดก็ใช้ได้ทั้งนั้น หรือเป็นรูปภาพก็ได้ ส่วนบริเวณด้านหลังของ องค์ฮก ลก ซิ่ว ควรเป็นฝาผนังไม่ควรเป็นหน้าต่าง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งองค์ ฮก ลก ซิ่ว ไว้ในห้องรับแขก ตรงด้านหลังเก้าอี้ยาวของชุดรับแขก แต่ห้ามตั้งหลังเก้าอี้เดี่ยวของชุดรับแขก และไม่ควรนำมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะไม่เป็นมงคล



         การบูชาถวายของไหว้ควรวางบนโต็ะปูด้วยผ้าขาว แนะนำให้ถวายของไหว้ด้วยผลไม้สดที่เรานิยมรับประทาน เป็นผลไม้ตามฤดูกาล ถ้าเป็นผลไม้ลูกใหญ่อย่าง แตงโม สับปะรด ส้มโอ ควรผ่าเป็นชิ้นใส่แล้วจานถวาย ถ้าเป็นส้ม เงาะ มังคุด แอปเปิ้ล ให้นำมาใส่ถาดแล้วถวาย ถ้าเป็นกล้วยไม่ควรใช้กล้วยดิบ ผลไม้ทุกอย่างที่ถวายควรสุกกำลังกิน และที่สำคัญน้ำเปล่า อย่าให้ขาด ควรมีแก้วน้ำใส่น้ำถวายเป็นประจำ หรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง การถวายสามารถถวายเวลาไหนก็ได้ เพราะบนสวรรค์ไม่มีกลางคืน สว่างไสวตลอดเวลา การลาของถวายหลังจากถวายของไหว้แล้วควรทิ้งระยะเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง หรือระยะเวลาธูปหมดดอก เมื่อลาของไหว้แล้วสามารถนำมาทานได้ไม่มีโทษ ถือว่าเป็นของดีเป็นอาหารทิพย์ กินแล้วก็จะอิ่ม

         การถวายของไหว้ไม่จำเป็นต้องจุดธูป แค่ยกมือพนมแล้วกล่าวคำถวายให้ใช้คำพูดเหมือนกับพูดกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่เคารพ เช่น พ่อครับ ลูกขอถวาย ... (ชื่อของที่เรานำมาไหว้)... ขอพ่อรับขอไหว้นี้แล้ว สงเคราะห์ลูกและครอบครัวทุกเรื่องด้วยเทอญ หรือมีเรื่องใดที่ต้องการให้ท่านสงเคราะห์เป็นพิเศษ ก็ให้บอกกล่าวท่าน การสงเคราะห์ของท่านแต่ละเรื่องมีผลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของเราและวาระกรรมที่ให้ผล แต่การถวายของไหว้เทพเทวดา ถือว่าได้บุญ เพราะว่าเป็นเทวตานุสติ เป็นสิ่งที่พระพทุธเจ้าทรงสอนในเรื่อง อนุสติ 10